Monthly Archives: November 2013

วิธีการเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ ซื้ออย่างไรไม่ให้ถูกโกง

28-4

ขณะที่น้ำมัน สินค้าอุปโภค-บริโภคกำลังปรับตัวขึ้นราคาตามกลไกการตลาด แต่กลับมีสินค้าประเภทหนึ่งที่สวนกระแสสภาวะข้าวยากหมากแพง นั่นคือสินค้าไอที โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือซึ่งนับวันจะมีราคาที่ถูกลงไปเรื่อยๆ อาจจะด้วยเหตุผลที่กลุ่มลูกค้ามีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้คิดหนักในการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย หรืออาจจะด้วยวัตถุดิบของสินค้าไอทีสามารถผลิตขึ้นได้เอง ไม่ได้ใช้แล้วหมดไปเหมือนทรัพยากรธรรมชาติ ในเมื่อสินค้าไอทีโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือต่างพากันปรับราคาถูกลง ล่อใจลูกค้าขนาดนี้ กลุ่มผู้ใช้เองก็ควรเลือกซื้ออย่างมีสติ อย่าเห็นแก่ราคาที่ถูกลงจนลืมคำนึงถึงคุณภาพของสินค้า
ที่ชักแม่น้ำมาทั้งโลกไม่ใช่อะไร แค่อยากให้ท่านได้อ่านวิธีการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือ ก่อนตัดสินใจซื้อ แค่นั้นเอง ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบเบื้องต้น แต่ค่อนข้างละเอียด 6 ขั้นตอนดังนี้
1. ตรวจสอบเลขอีมี่ (IMEI) ซึ่งจะเป็นรหัสประจำตัวเครื่องเป็นตัวเลข 15 หลัก เลขอีมี่จะดูได้จากที่ไหนบ้าง?
– ที่ตัวโทรศัพท์มือถือ ดูจากด้านหลังเครื่อง ตรงช่องใส่แบตเตอรี่
– ที่ตัวโทรศัพท์มือถือ โดยเปิดเครื่องขึ้นมาก่อนจากนั้นกดปุ่ม *#06# จะปรากฏเลขอีมี่ขึ้นมา
– ที่กล่องบรรจุภัณฑ์จะแป่ะสติ๊กเกอร์ข้างกล่องทั้ง 3 จุดนี้ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวเลขอีมี่ตรงกันหรือไม่
2. เมื่อเลขอีมี่ตรงกัน จากนั้นให้โทรไปตรวจสอบกับตัวแทนจำหน่ายที่นำเข้าโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากบริษัทที่นำเข้าจะมีเลขอีมี่บันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ ตรวจสอบได้
3. เมื่อผ่าน 2 ขั้นตอนด้านบน ก็มาดูที่ตัวโทรศัพท์บ้าง ให้เปิดเครื่องลองใช้งาน แล้วเช็คเวลาใช้งานโทรศัพท์ดูโดยกดปุ่ม *#92702689# เพื่อเรียกดูเวลาการใช้งานโทรศัพท์ หากเป็นเครื่องใหม่จริงเวลาควรเป็น 0 หากเป็นเครื่องที่เอามาวางโชว์เวลาก็ไม่ควรมากไปกว่า 0 เท่าไร
4. จากนั้นเริ่มตรวจสอบหาร่องรอยบนตัวเครื่อง ถ้าเป็นรุ่นที่แกะหน้ากากได้ก็ลองแกะดูเพื่อดูความสะอาดด้านใน ดูสติ๊กเกอร์รับประกัน วันที่รับประกัน
5. ทดลองใช้งานโทรศัพท์โดยการโทรออก รับสาย เปิดทุกฟังค์ชั่นในตัวเครื่อง
6. ตรวจสอบอุปกรณ์เสริมที่แถมมาในกล่องบรรจุภัณฑ์ หากไม่แน่ใจให้ตรวจสอบมาก่อนว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ต้องการซื้อควรมีอะไรในกล่องบรรจุภัณฑ์บ้าง
จาก 6 วิธีการขั้นต้นก็สบายใจได้ว่าเครื่องที่คุณซื้อมาสภาพใหม่พร้อมใช้งานแน่นอน

เพิ่มยอดขายสินค้าและบริการด้วยการ “เปิดร้านค้าออนไลน์”

สำหรับคนที่มีร้านค้าอยู่บน Facebook หรือ Instragram แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ต้องมี Website ซึ่งจะเป็นเสมือนหน้าร้านออนไลน์ การเปิดร้านออนไลน์นี้มีข้อดีมากมาย โดยเฉพาะคนที่ทำงานประจำอยู่ แล้วไม่ค่อยมีเวลามากนัก เพียงแค่คุณเปิดเว็บไซต์กับเรา ก็เท่ากับว่าหน้าร้านของคุณเปิดบริการตลอด 24 ชม.
เพราะเวลาที่คุณหลับอยู่ อาจมีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมร้านของคุณ และทำการสั่งซื้อทิ้งไว้ให้คุณจัดการตอนเช้าก็เป็นได้ ที่สำคัญ การเปิดร้านสินค้าและบริการออนไลน์ช่วยลดต้นทุนการเปิดร้านจริงๆไปได้มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าตกแต่งร้าน ค่ารถ ค่าเดินทาง ฯลฯ ส่วนถ้าจะไปเปิดท้ายขายของตามตลาดนัด
คุณก็ต้องแข่งกับคนอื่นเพื่อไปจับจองพื้นที่การขาย ทั้งยังเสี่ยงกับสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ฝนตกวันไหนก็ขายไม่ได้ ส่วนสำหรับใครที่มีหน้าร้านจริงๆอยู่แล้ว การเปิดร้านออนไลน์ยังช่วยเพิ่มช่องทางให้ลูกค้ากลุ่มที่ไม่สะดวกเดินทาง ไปที่ร้าน เช่น ลูกค้าต่างจังหวัด หรือลูกค้าต่างชาติ เป็นต้น

เพราะฉะนั้นคุณควรจะเริ่มต้นเปิดร้านสินค้าและบริการกับเราตั้งแต่วันนี้เพื่อที่จะได้ไม่พลาดโอกาสในการขาย โดยมีเทคนิคแนะนำ คือ
–   ใช้บริการเปิดเว็บสำเร็จรูปเพราะเราทำให้คุณฟรีตั้งแต่เริ่มออกแบบจนกระทั่งลงสินค้า
–   ควรใช้ชื่อเว็บไซต์ที่จดจำง่าย ถ้าสอดคล้องกับสินค้าที่ขายด้วยยิ่งดี
–   ใส่ข้อมูลส่วนตัวของผู้ขายไว้ให้ครบถ้วนเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
–   ข้อมูลและรูปภาพของสินค้าต้องชัดเจน เพราะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
–   ผลิตภัณฑ์จำพวกสุขภาพ ความสวยความงามต้องแสดงเลขที่จดแจ้ง อย. ไว้เสมอ
–   ขยันโปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จัก เช่น ลงประกาศในเว็บบอร์ด ประชาสัมพันธ์ใน Social Network หรือซื้อโฆษณา
–   จัดส่งสินค้าและตอบคำถามลูกค้าทุกทางไม่ควรช้า เพราะอาจทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจ ไม่สามารถปิดการขายได้